กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) คืออะไร?

crypto wallet

หลายคนที่ได้เข้ามาศึกษาเกี่ยวกับบิตคอยน์และกำลังจะเริ่มต้นใช้งาน มักจะได้ยินคำว่า กระเป๋าเงินคริปโต เป็นเครื่องมือที่เราใช้ในการรับส่งบิตคอยน์ ซึ่งมีอยู่หลายแบบให้เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้งานในลักษณะไหน โดยหลักๆแล้วจะมี 2 ประเภทคือ Custodial Wallet และ Non-Custodial Wallet

Custodial Wallet

Cistodial Wallet คือ ลักษณะกระเป๋าเงินคริปโตที่เราไม่ได้ถือเหรียญคริปโตเอง โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกระเป๋าเงินของบริษัทผู้ให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโต ที่เราต้องไปสมัครเพื่อเปิดใช้งาน ซึ่งต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อยืนยันตัวตน เช่น ชื่อ อีเมล์ เบอร์โทรศัพท์ เพราะบริษัทที่เป็นผู้ดูแลกระเป๋าเงินประเภทนี้มักจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลขององค์กรรัฐ ตัวอย่างกระเป๋าเงินคริปโตประเภทนี้ เช่น Bitkub, Satang Pro, Binance, Nexo

ข้อดี

  • ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก ซื้อขายสะดวก สามารถฝากและถอนเงินเฟียตโดยตรงได้เลย

ข้อเสีย

  • เราไม่ได้เป็นเจ้าของบิตคอยน์ในบัญชีอย่างแท้จริง ผู้ให้บริการจะเป็นผู้ถือสินทรัพย์แทน
  • ไม่มีความเป็นส่วนตัว ทุกธุรกรรมที่เราทำบนกระเป๋าเงินจะต้องทำผ่านผู้ให้บริการกระเป๋าเงิน
  • มีความเสี่ยงที่บริษัทผู้ให้บริการกระเป๋าเงินจะไม่ได้เก็บบิตคอยน์ไว้เฉยๆ และอาจจะนำบิตคอยน์ไปลงทุนอย่างอื่นที่เราไม่รู้ 

Non-custodial Wallet

Non-Custodial Wallet คือ กระเป๋าเงินที่เราจะต้องถือ Private key เอง ซึ่งคีย์นี้เปรียบเสมือนรหัสผ่านที่ใช้สำหรับส่งบิตคอยน์ โดยที่ใครก็ตามที่เข้าถึงคีย์นี้ ก็จะสามารถเป็นเจ้าของบิตคอยน์ในกระเป๋าเงินได้เลย

ข้อดี

  • เราสามารถเป็นเจ้าของบิตคอยน์ได้อย่างแท้จริง ด้วยการเก็บรักษา Private key เอง
  • ใช้งานง่าย เพราะในปัจจุบันมีการพัฒนา UX/UI ที่ค่อนข้างตอบโจทย์คนส่วนใหญ่มากขึ้น

ข้อเสีย

  • ต้องมีความรับผิดชอบในการเก็บรักษา Private key ด้วยตัวเอง เพราะถ้าทำหายหรือโดยขโมย นั่นหมายถึงเงินของเราอาจจะหายไปด้วย

โดยกระเป๋าเงินประเภทนี้จะแบ่งย่อยได้อีก 2 แบบตามความปลอดภัยของการใช้งานคือ Hot Wallet และ Cold Wallet

Hot wallet

แบบแรก Hot wallet คือ รูปแบบของแอปพลิเคชั่นทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ ซึ่งจะเก็บ Private key ไว้ในอุปกรณ์นั้นๆ ที่มีการเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตอยู่เกือบตลอดเวลา จึงมีความเป็นไปได้ว่า เมื่ออุปกรณ์นั้นถูกแฮคหรือติดไวรัส แฮกเกอร์ก็อาจเข้าถึง Private key ของเราได้ ตัวอย่างกระเป๋าเงินประเภทนี้ เช่น Blue wallet, Green wallet, Muun, Metamask

Cold wallet

แบบที่สองคือ Cold wallet ซึ่งจะคำนึงถึงความปลอดภัยมากขึ้น 

ในอดีตจะมีการใช้สิ่งที่เรียกว่า Paper wallet กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งคือการใช้โปรแกรมสำหรับเข้ารหัสเพื่อสร้าง Private key ขึ้นมาและพิมพ์มันออกมาเป็น QR code เก็บไว้ ถือเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกมาก แต่ก็มีข้อเสียตรงที่มันเป็นเพียงกระดาษ หมึกอาจจะจาง กระดาษถูกเผาไหม้หรือโดนน้ำทำลายได้

จึงเป็นเหตุผลให้นักพัฒนาหลายเจ้าได้คิดค้นอุปกรณ์ที่เรียกว่า Hardware wallet ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่จะเก็บ Private key ไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา และทุกครั้งที่ผู้ใช้งานทำธุรกรรมจะต้องกดอนุมัติจากอุปกรณ์นี้เท่านั้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยไปอีกขั้นหนึ่ง

จึงเป็นตัวเลือกที่คนส่วนใหญ่ที่เก็บออมบิตคอยน์ไว้จำนวนมากมักเลือกใช้งาน ตัวอย่างกระเป๋าเงินประเภทนี้ เช่น Trezor, Ledger, Coldcard, Bitbox, Blockstream Jade 

สรุป

สิ่งที่เราควรทำความเข้าใจก่อนเริ่มใช้งานกระเป๋าเงินแบบ Non-custodial คือ โครงสร้างของบัญชีบิตคอยน์ที่ประกอบไปด้วย Private key กับ Public key

บิตคอยน์นั้นทำงานอยู่บนพื้นฐานของการเข้ารหัสและถอดรหัส โดย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Private key ซึ่งจะเป็นชุดตัวเลขยาวๆ ที่ถูกเข้ารหัสไว้ และเมื่อถอดรหัสออกมาก็จะได้ Public key ซึ่งจะสามารถนำมาสร้าง address สำหรับรับเงินได้

ในช่วงแรกๆของการใช้งานบิตคอยน์ ผู้ใช้งานทุกคนจะต้อง เก็บไฟล์ Private key เอง และแต่ละธุรกรรมก็มี Private key ของตัวเองแยกจากกัน ทำให้ยากต่อการใช้งาน และมีความเสี่ยงที่จะทำไฟล์หายสูงมาก

เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีผู้ใช้งานมากขึ้น จึงมีการพัฒนาโปรโตคอลที่เรียกว่า BIP32 ที่เป็นการสร้างโครงข่ายของคีย์เป็นชั้นๆทำให้แทนที่เราจะต้องเก็บคีย์ของทุกแอดเดรส ตอนนี้เราแค่ต้องเก็บคีย์เดียวที่เรียกว่า Master Private key นึกภาพง่ายๆว่า เราเก็บแค่ Master password ของโปรแกรม Password Manager  ที่จะเก็บ password ย่อยๆไว้อีกไม่จำกัด

แต่การจะเก็บคีย์ที่เป็นตัวเลขยาวๆนั้นค่อนข้างยากต่อการใช้งานและเก็บรักษา จึงมีการพัฒนาโปรโตคอล BIP39 ซึ่งเป็นการกำหนดชุดคำทั้งหมด 2048 คำ และนำคำเหล่านี้มาเรียงต่อกันจำนวนตั้งแต่ 12 – 24 คำ และเข้ารหัสเพื่อสร้าง Master Private key ซึ่งเราจะเรียกชุดคำเหล่านี้ว่า Seed เป็นวิธีที่ง่ายต่อการจดจำและเก็บรักษา

ซึ่งบางคนก็มักสลักหรือตอกคำเหล่านี้ไว้บนแผ่นเหล็กที่ทนทานต่อการสึกกร่อนจากสภาพแวดล้อมหลายรูปแบบ และเก็บแผ่นเหล็กเหล่านี้ไว้ในที่ปลอดภัย ซึ่งต่อให้เราจะทำ Hardware wallet พังหรือสูญหาย แต่ถ้าเรายังมี Seed อยู่ เงินของเราก็ยังไม่หาย เพราะเราสามารถนำ Seed นี้ ไปใส่ในกระเป๋าเงินคริปโตอันใหม่ได้

ดังนั้น ขอย้ำอีกรอบว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ Private key หรือ Seed ครับ

บิตคอยน์นั้นเป็นระบบการเงินไร้ศูนย์กลางที่เราสามารถเข้าถึงและใช้งานมันได้อย่างอิสระ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำหรับการเก็บออมที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยใช้มา

หากเราคิดจะใช้มันไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราควรรู้วิธีเก็บรักษามันอย่างเหมาะสม ในโลกของคริปโต จะมีคำกล่าวที่ว่า Not you keys, Not your coins.

ตราบใดที่เราไม่ได้ถือ Private key ด้วยตัวเอง เราก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของบิตคอยน์อย่างแท้จริง 

เพราะเราก็จะได้เห็นเหตุการณ์ที่ Crypto Exchange เกิดปัญหาไม่ว่าจะทางเทคนิคหรือทางด้านการเมืองอยู่ตลอดเวลา มันเป็นความไม่แน่นอนที่เราไม่สามารถควบคุมได้ คนที่เราควรไว้ใจมากที่สุดคือตัวเราเองครับ